อืม......ยาวไปหน่อยแต่ทนๆอ่านกันไปนะค้าบ ของแบบนี้ไม่ได้ลงกันบ่อยๆนะเออ กับตอน"ปฐมกาลศึกนครเงา"ขอรับ
Quote:
ท่ามกลางบรรยากาศที่เย็นเฉียบไร้ไออุ่นใดๆ ณ ใจกลางของห้วงลึกแห่งอนธกาลอันไร้ก้นบึง ปรากฏสิ่งก่อสร้างขนาดยักษ์ลอยนิ่งอยู่อย่างสงบ ตัวมันทำจากหินสีเทาและสีดำสนิทเก่าคร่ำคร่าประกอบกันขึ้นเป็นรูปร่างของบ้านเรือนนับร้อยหลัง ถนนหลายสิบเส้นที่ตัดผ่านกันไปมา เสาไฟทำจากเหล็กสีดำสนิทส่องแสงสีม่วงจางๆพอให้เห็นทางใกล้เคียง ทั้งหมดนี้คือสภาพของนครแห่งโลกเงาที่มีนามว่า นครเงาแห่งเซรา
ที่ใจกลางของนครนั้นเป็นสวนซึ่งมีหญ้าแห้งและต้นไม้ตายซากขึ้นอยู่ทั่วไป ล้อมลานหินกลมซึ่งปรากฏจาลึกประหลาดไว้ ที่กึ่งกลางของลานหินนั้นปรากฏร่างสัตว์เผ่าปักษายืนอยู่สองร่าง
"ดูเป็นสถานการ์ณอันน่าลำบาก.....แม้ว่ากำเเพงนครเซราสจะแข็งแกร่งก็เถอะ" ปีกสีดำขยับไปมา เจ้าของประโยคแสดงสีหน้ากังวลใจ
"เจ้าจะกลัวอะไร......นี่นครเอกแห่งโลกเงาเชียวนะ" อีกเสียงหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงสบายๆ "แถมมันก็ข้ามเหวแห่งทัณฑ์นิรันดร์ไม่ได้หรอกน่า"
"และถ้าหากพวกนั้นมันบินได้ล่ะ?"เสียงเเรกเอ่ยถามขึ้น
"ผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาต นครแห่งเงาก็จะไม่ต้อนรับ เจ้าก็บินผ่านมาเเล้วนี่ ไอ้ที่เห็นเป็นซากบ้านพังๆที่ลอยอยู่รอบนครเต็มไปหมดนั่นน่ะ?"สีแดงจางๆของดวงไฟดวงเล็งคุขึ้นด้วยกิ่งไม้เวทย์ที่เพียงแค่หักก็ทำให้เกิดประกายไฟได้ ใบไม้ถูกนำมาม้วนก่อนจะถูกจุดด้วยไฟ ควันของมันมีกลิ่นหวาน
"นั่นน่ะเมื่อถึงคราวรับแขก มันก็จะเรียงตัวเป็นสะพานให้ข้ามผ่านมายังนครได้...."
"เเล้วถ้าศัตรูล่ะ?"เสียงแรกแทรกถามขึ้นอย่างรวดเร็ว"มันคงไม่ใช่แค่ลอยเอื่อยๆหรอกมั้ง?"
"แหงล่ะ.....มันก็จะประกอบกันใหม่เป็นวงกตขนาดมโหฬารที่เกินกว่าพวกเราจะคิดได้ซะอีก"ควันสีเทาถูกพ่นออกมา"บางคนเขาถึงได้เรียกนครแห่งนี้ว่าวงกตแห่งเซรา(Sera's labyrinth)ไงล่ะ"
"ถึงจะอย่างนั้นก็เถอะ....ข้าก็ยัง....."พลันประโยคที่เหลือถูกขัดด้วยเสียงโห่ร้องดังกึกก้อง ทั้งสองลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ปีกสีดำกางออกก่อนจะพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้าก่อนจะลอยนิ่งเหนือสวนแห่งเงา สายตาเฉียบคมกวาดมองไปรอบตัวครู่หนึ่ง
"มาเเล้วงั้นเรอะ!!!"ชายคาบใบยาสูบกัดฟันกรอด ปืนคู่กระชับแน่นในมือ ส่วนอีกคนหนึ่งถือปืนยาวในท่าเตรียมพร้อม
ทันทีที่เสียงโห่ร้องดังก้องขึ้นมาอีกหน ทั้งสองพุ่งฝ่าสายหมอกไปทางทิศทางต้นกำเนิดเสียง บริเวณเหนือห้วงลึกดำมืดนั้น เศษซากอิฐหินตั้งแต่กองเล็กๆยันซากบ้านหลังใหญ่ๆผ่านทั้งสองไปอย่างรวดเร็ว
"ข้างหน้านั่นคาราสุ" อีกกาดำหัวเราะในลำคอพร้อมยกปืนคู่เล็กไปที่ลูกไฟสีฟ้าๆด้านหลังหมอกเบื้องหน้า หากแต่เพื่อนของเขาคว้าผ้าพันคอสีดำไว้เเล้วลากอีกกาดำไปหลบหลังกำแพงหินเก่าที่ลอยผ่านมาพอดี
"ทำอะไรของนายฟระคุโระ อุ๊บ....."คาราสุหันมาตะคอกใส่เพื่อนกาดำหากแต่โดนมือมาอุดปากไว้อย่างรวดเร็ว
"รีบบุกเข้าไปถ้ามันเกิดเมพขึ้นมาไม่โดนถอนขนตายเรอะ?"คุโระพูดขึ้นพร้อมตั้งปืนไว้ที่ขอบหน้าต่าง พลันทุกอย่างเงียบสงัด
ท่ามกลางหมอกหนาทึบเบื้องหน้า แสงสีฟ้าเอื่อยๆลอยเข้ามาใกล้ทั้งสองมากยิ่งขึ้น ยังไม่ทันที่เเสงนั้นจะผ่านหมอกให้ได้รู้ว่ามันคืออะไร ปืนยาวสีดำส่งเสียงดังก้องไปทั่ว เเสงสีฟ้าร่วงลงไปห้วงเบื้องล่างเอื่อยๆ
แทบจะในทันทีที่แสงสีฟ้าร่วงลงไปกาดำคาราสุพุ่งลงตามไปเบื้องล่างโดยมีคุโระบินตามลงไปอย่างเหนื่อยใจ
"หยุดนะเว้ย ข้าคาราสุ กองพันอีกาดำของท่านอิธารุสเชียวนะ" กาหนุ่มตะโกนบอกร่างของสัตว์ชนิดหนึ่งที่เปล่งแสงสีฟ้าประหลาดออกมา
"ข้าเองก็คาราสุ......."ใบหน้าของคาราสุถอดสีเมื่อสัตว์ประหลาดที่ว่านั่นหันหน้ามา"นะเว้ย........"
ปืนคู่ในมือของกาดำยิงกระหน่ำไปยังร่างของตนเองที่เรืองเเสงไม่ยั้งมือ หากแต่ร่างนั้นยังคงยิ้มตอบกลับอย่างน่ากลัว
"อ้าว......เหมือนจะไม่ตายแฮะเรา......."ร่างนั้นเอามือจับที่หน้าอกที่มีรูพรุนไปทั่ว ปีกทั้งสองข้างกางออกอย่างรวดเร็วดึงร่างของตนให้บินขึ้น
"อ่ะ......แลกกันนะตัวข้า......."ร่างเรืองแสงควักปืนคู่ออกมาก่อนจะสาดกระสุนลงไปด้านล่าง ร่างของคาราสุที่ไม่ทันที่จะบินหลบร่วงไปยังห้วงลึกอย่างรวดเร็ว ไฟจากใบยาสูบค่อยจางหายไป
"คาราสุ!!!!!!"คุโระตะโกนเรียกเพื่อนตัวเองพร้อมกับเล็งหัวของสัตว์ประหลาดก่อนจะลั่นไก กระสุนทะลุผ่านหัวของคาราสุตัวปลอมอย่างรุนแรงหากแต่มันยังบินพุ่งเข้ามาหาเขาราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"นี่แกคิดจะฆ่าเพื่อนตัวเอง......."พลันร่างนั้นเปลี่ยนเป็นคุโระอย่างรวดเร็ว"ไม่สิฆ่าตัวเองอย่างนั้นเหรอ?" เสียงปืนนัดหนึ่งดังขึ้น คุโระบินค้างนิ่งอยู่ครู่หนึ่งด้วยความตกใจ
"ข้าไม่แนะนำให้เพื่อนปอดแหกอย่างนายฆ่าตัวตายหรอก...."กระสุนนัดหนึ่งพู่งทะลุออกของร่างนั้นไปพร้อมเฉียดเอาเส้นผมของคุโระไปหลายเส้นก่อนที่กรงเล็บสีดำฟาดเข้าที่คอของร่างเรืองเเสงอย่างรุนเเรงทำเอาร่างนั้นพุ่งร่วงลงไปข้างล่างอีกหน "นะเว้ยยยยยยยย"
กาดำคาราสุที่ยิ้มอย่างกวนๆก่อนจะรัวปืนคู่ตามส่งร่างเรืองเเสงนั่นไป
"นายนี่ตายยากชะมัดให้ตายเหอะ"คุโระยกปืนประทับบ่าพร้อมส่งกระสุนตามไปอีกสามนัดก่อนหันมามองเพื่อนตัวเองที่มีแผลจากกระสุนอยู่ทั่วตัว "ทิ้งเสื้อกับผ้าพันคอไป.......นึกว่าจะมีแต่ลูกบ้านะเนี่ย เสียอย่างเดียวที่บาดเจ็บนี่แหละ"
ยารักษาแผลสีแดงถูกราดลงบนหัวคาราสุก่อนที่ขวดเปล่าถูกโยนทิ้งไปด้านล่าง
"ลุยต่อเลยเเล้วกัน บินให้ทันนะเว้ย"คาราสุพุ่งลงไปด้านล่างอีกหนหมายดับลมหายใจร่างเรืองเเสงนั่นให้ได้ แต่ทว่าทั้งคู่ต้องหยุดบินไปซ่อนอยู่ด้านหลังกองหินที่ลอยผ่านมาอีกหน
เบื้องล่างของทั้งสองนั้นเป็นภาพที่แทบจะไม่น่าเชื่อ ป่าแห่งโลกเงาซึ่งตั้งอยู่ริมเหวห้วงลึกแห่งอนธกาลถูกถางออกไปส่วนหนึ่ง ต้นไม้สีดำน้อยใหญ่ถูกแทนที่ด้วยร่างนักรบในชุดเกราะพร้อมอาวุธในมือมากมายเกินกว่าจะนับได้ พวกมันส่งเสียงโห่ร้องอย่างบ้าคลั่งเป็นพักๆราวกับกระหายในการต่อสู้มาหลายปี ที่ใจกลางของกองทัพนั้นปรากฏสิ่งก่อสร้างทำจากต้นไม้สีดำเป็นฐานบัญชาการ คบเพลิงหลายสิบถูกจุดขึ้นสว่าง อีกทั้งมีทหารซึ่งเรืองเเสงสีฟ้าประหลาดออกมาตลอดเวลาล้อมอยู่อีกชั้นหนึ่ง
"ศึกใหญ่น่าดูล่ะงานนี้.....แต่ข้าว่าก็ไม่น่ารอดไปได้ซักตัวหรอกมั้ง?"คาราสุพูดขึ้น"พวกมันจะมีปัญญาข้ามเหวนี่ไปถึงตัวเมืองเรอะ?"
"ข้าว่างานนี้นครเซราสไม่ปลอดภัยเเล้วล่ะ...."คุโระพูดขึ้นก่อนชี้ไปทางด้านปากเหว เหล่าสัตว์หลายชนิดทั้งวัว ไบสัน ช้างและสัตว์ใช้แรงงานอีกมากมายกำลังออกแรงดึงเชือกหลายเส้นที่ผูกติดกับขอเกี่ยวซึ่งเกี่ยวอยู่กับเศษสะพานแห่งนครเงาที่ลอยอยู่ให้เข้ามาติดกัน
"นั่นมัน....หนอย....จับเอาคนไม่รู้เรื่องมาเป็นทาสใช้เเรงงานเรอะ"คาราสุทำท่าจะพุ่งไปหากแต่คุโระคว้าตัวไว้อีกหน"นายช่วยอยู่นิ่งๆแล้วดูโน่นก่อนเถอะ"
คราวนี้คุโระชี้ไปทางด้านหลังของเหล่าทาสที่กำลังดึงซากสะพานมาต่อกัน ร่างภายใต้ผ้าคลุมกับลังยืนร่ายเวทย์อยู่ซักพักรากไม้สีดำผุดขึ้นจากพื้นยึดซากสะพานไว้แน่น
"นั่นมันเวทย์ธาตุเงา ข้าเคยเห็นมันมาก่อนสมัยสงครามครั้งโน้นน่ะ....นำมาใช้กับสะพานนครแห่งเงาเลยรึ?"
"นี่สินะที่ทำให้สะพานยอมฟังคำสั่ง แม้ว่าวงกตส่วนอื่นจะเคลื่อนแต่ก็ยังมุ่งตรงไปยังนครได้ด้วยสะพาน"คารสุพูดขึ้นทำเอาคุโระที่ได้ยินดังนั้นกางปีกบินกลับไปยังนครแห่งเงาแทบจะในทันที
"รีบเร็วคาราสุเราจะช้าไม่ได้ ต้องไปรายงานท่านเซราให้เคลื่อนวงตกเซราให้เร็วที่สุด"คาราสุที่ได้ยินดังนั้นเอามือชกพื้นด้วยความโมโหก่อนจะกางปีกบินตามเพื่อนของตนไป
ณ นครแห่งเงาภายใต้ลานหินสวนแห่งเงานั้น ปราสาทสีดำที่ดูเหมือนถูกจับตั้งกลับหัวโดยมียอดชี้ลงไปในเหวลึกเบื้องล่างลอยอยู่อย่างนิ่งสงบ เช่นเดียวกับใบหน้าของชายผู้หนึ่งซึ่งทอดสายตามองผ่านหมอกเมฆไปไกลเเสนไกล โดยไร้ซึ่งอารมณ์โดยสิ้นเชิงราวกับไร้ชีวิต ทั่วร่างนั้นนิ่งไม่ไหวติงราวกับรอคอยบางสิ่งมาสัมผัสเพื่อที่จะเคลื่อนไหว เเละบางสิ่งที่ว่านั้นกำลังเดินลงบันไดหินมา
ทันทีที่ลงมาถึงประตูเหล็กสีดำเหวี่ยงออกอย่างง่ายดายด้วยพลังเวทย์ที่กระเเทกเข้าอย่างรุนแรง ร่างของเพนกวินหนุ่มในชุดจอมเวทย์สีดำสนิทก้าวเข้ามาด้านใน ไฟสีฟ้าจากเทียนไขสีดำลุกโชนขึ้นพร้อมกันทั่วห้องโถงหินซึ่งทำจากแผ่นป้ายจารึกหลุมฝังศพหลายแผ่นต่อกันหลังสิ้นเสียงกระแทกระหว่างร่มสีดำกับพื้นหินเย็นเยียบ
"คิดจะจ้องไปถึงเมื่อไหร่กันน่ะ?"เพนกวินเอ่ยถามร่างที่ยิงคงนิ่งเฉยอยู่
"เเล้วมีสิ่งใดที่เราต้องเร่งรีบเล่า?"ร่างนั้นถามกลับโดยไม่ได้เเม้เเต่จะขยับริมฝีปาก ก่อนที่จะหันมา
"เคลื่อนมันซะเซรา......วงกตของท่านน่ะ"เพนกวินเอ่ยขึ้น ผู้ถูกขานนามหันหลังกลับมา
"วงกตนี้เคลื่อนด้วยตัวมันเอง เราไม่สามารถจะบังคับมันได้"เซราเทพแห่งเงาเอ่ยขึ้นก่อนจะลอยเอื่อยไปยังบัลลังก์หิน"เจ้าก็รู้มิใช่รึ ยามใดที่นครมีภัยมันจะเคลื่อนที่ด้วยตัวมันเอง"
"แต่นี่คือกลโกงของศัตรูท่านก็รู้? สะพานโง่เง่านั่น?"เพนกวินเงียบไปซักพัก"ถ้าหากว่ามันโง่เง่าจริงล่ะก็นะ"
"นั่นก็เป็นความนึกคิดของสะพาน"เซราตอบขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
"ท่านเป็นคนที่สร้างมันขึ้นมาไม่ใช่รึไง"เพนกวินพูดเสียงเเข็งพร้อมกระเเทกร่มลงพื้นอีกหน
"เราได้ละทิ้งพลังนั่นไปนานเเล้ว.....ที่เหลืออยู่กับเราตอนนี้คือพลังแค่ส่วนเดียวเท่านั้น....ซึ่งไม่พอที่จะเคลื่อนวงกตต้านกองทัพมโหฬารนี่หรอก...."
"เเล้วนักรบเงาของท่านล่ะ? เชดน่ะ? คราวสงครามครั้งก่อนท่านยังใช้มันอยู่นี่? ทำไมไม่ส่งมันไปกวาดล้างซะล่ะ?"
"เชดน่ะเกิดจากเจตจำนงค์ของเรา.....ซึ่งตัวเราเห็นว่ามันจะอันตรายต่อโลกนี้เกินไปถ้า......"
"นี่ท่านเป็นเทพนะ? ถ้ามันเข้ามาในนี้ได้เเล้วเหล่าเงาล่ะ? วิญญาณของผู้วายชนม์อย่างพวกข้าไม่ต้องระเหเร่ร่อนไปเรอะ? อย่าเอาโลกมาอ้างกับข้าท่านเซรา ที่นี่ก็คือโลกเช่นกัน โลกเงาของท่าน"
เทพแห่งเงายังคงนิ่งเฉยทำเอาเพนกวินถอนหายใจอย่างหัวเสีย
"ความอดทนของข้ามีจำกัดนะเซรา.....ข้า......ไมใช่......จอมเวทย์......ของ......อะคาเซีย......."เพนกวินเน้นทีละคำด้วยน้ำเสียงน่ากลัว"ฉะนั้นข้าไม่มีความอดทนหรือทำตัวเล่นๆไปวันๆเช่นตอนที่ข้ามีชีวิตบนโลกโน้น"
"เเล้วเจ้าจะทำอะไรได้ล่ะเจ็นโต้......บอกเรามาทีที่ปรึกษาแห่งเรา......."
"ถ้าท่านยังยืนกรานไม่ทำอะไร......"เจ็นโต้จ้องหน้าเซรา"เอาพลังของท่านที่ใช้ขับเคลื่อนวงกตมาให้ข้าซะ"
ไม่มีเสียงใดเกิดขึ้นอีกนับจากนั้นเว้นกระทั่งเสียงลมที่พัดเข้ามายังห้องโถง ทั่วบริเวณเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่เพนกวินจะพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาต่อ
"ข้ารู้ว่าท่านไม่ได้โกหก.....พลังนั่นน่ะ.....ธาตุพิสุทธิ์ใช่มั้ย......."
"ไม่มีความรู้อันใดเล็ดลอดไปจากเจ้าเลยนะเจ็นโต้ ถ้าเจ้าไม่ตายเสียก่อนเราว่าตำแหน่งที่เร็กกุเป็นอยู่ทุกวันนี้คงไม่มีใครอื่น"
"อย่านอกเรื่องท่านเซรา บอกข้ามามันอยู่ที่ไหน"เจ็นโต้ตัดบทในทันที หากแต่เซรายังคงเงียบอยู่
"เวลาท่านมีไม่มากอย่างที่ท่านคิดหรอกนะ......"
"ถ้าเจ้าเหมาะจะเป็นผู้ใช้มัน........เราก็ไม่อาจขัดขวาง......."เซราเอ่ยขึ้นก่อนจะลุกยืน"หากแต่ถ้าเจ้าพลาดนั่นหมายถึง.....ความตายชั่วนิรันดร์เลยนะ?"
"งั้นก็เท่ากับข้าก็จะมีโอกาสชั่วนิรันดร์เลยน่ะสิ?"เพนกวินหัวเราะขึ้น เซราไม่ตอบคำถาม พลันเงาหลายสายลอยออกจากมือทั้งสองข้างของเทพเงา มันหมุนวนกันที่พื้นใจกลางของห้องโถง
"ที่เจ้าจะพบต่อไปนี้คือส่วนที่ลึกที่สุดของวงกตแห่งเรา......."พลันเงาที่หมุนวนนั้นประกอบกันเป็นลวดลายตราเวทย์ขนาดใหญ่"ถ้าเจ้ามีโอกาสได้เข้าไปถึงแก่นแห่งเงาเเล้ว......."
ทันทีที่ตราเวทย์หายไปพลันพื้นใจกลางห้องยุบตัวลงเป็นบันไดวนขนาดใหญ่ทอดลงหายไปในความมืด
"ช่วยตอบคำถามของเราด้วยเเล้วกัน......."
"เซราผู้รู้แจ้งเช่นเดียวกับอะคาเซียน่ะรึมีคำถาม? ข้าไม่คิดว่ามันจะมีสาระนักหรอกนะ"เจ็นโต้พูดขึ้นก่อนจะเดินลงไปเบื้องล่าง ทิ้งให่เซรายืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้นกับตัวเอง
"นั่นสิ......เราเองก็ไม่คิดว่าจะเป็นคำถามที่ดีนักหรอก......."
ปล.สำหรับใครที่นึกภาพนครเงาไม่ออกลองไปหารูปในมู้WIPดูนะขอรับ
ปล.2เอ้อเรื่องเจ็นโต้เเละนครเงาถ้าจะให้ดีลองไปหาอ่านในฟิคภาคเเรกตั้งเเต่แถวๆตอนสู่เเดนแห่งเงาเรื่อยไปจนโผล่ขึ้นจากโลกเงาจะดีมากฮะ จะได้เข้าใจมากขึ้นนะเออฮ้าฟ
ปล.3อาจเขียนไม่ค่อยดีนักเนื่องจากรีบเขียนด้วย(เวลาที่ลงก็ตีสองเกือบครึ่งเเล้วแถมมีเรียนเช้าวันพรุ่งด้วยอ่า)ยังไงก็ต้องขออภัยในความมึนงงและคำผิดด้วยขอรับTwT
ปล.4สองกาดำนั่นตัวประกอบฮะ แต่ถ้าใครเห็นว่ามันเท่บาดใจจะเอาไปแต่งต่อก็ได้นะเออ